#สัจจะไร้สิ่งคู่.
#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.
##สูงสุด คือ จิตหนึ่ง#!!!
##คำสอนท่านฮวงโป, ตอนที่ ๑๕๘, หน้า ๘๙; จะขอแบ่งออกเป็น ๔ ประโยค ดังนี้ :-
##ประโยคที่ ๑ ""หลักคำสอนของท่านไม่ยอมรับว่า มีสิ่งที่มีคุณลักษณะอันทำให้ได้ชื่อ สว่างและมืด""
ข้อความดังกล่าว ท่านฮวงโปได้ปรารภถึงหลักคำสอนของพระโพธิธรรมว่า ไม่ยอมรับสิ่งที่มีคุณลักษณะอันทำให้ได้ชื่อว่า สว่างและมืด เพราะสิ่งที่เรียกว่า ความสว่างความมืด คือ คติทวินิยมของความคิดปรุงแต่ง; จิตหนึ่งหรือจิตเดิมแท้ คือ สภาวะที่ปราศจากความปรุงแต่ง (อสังขตธรรม) ซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา ถ้ามีสว่างก็ต้องมีมืด ถ้ามีขาวก็ต้องมีดำ แต่สัจธรรมแท้ไร้ของคู่ทุกชนิด.
##ประโยคที่ ๒ ""เมื่อสิ่งนั้นไม่ใช่ความสว่าง ก็จงดูให้เห็นว่า ไม่มีความสว่างอะไรที่ไหน!""
ที่ท่านกล่าวว่า "สิ่งนั้น" หมายถึง จิตหนึ่ง ซึ่งเป็นสัจธรรมแท้ สิ่งที่เรียกว่า จิตหนึ่ง ไม่มีแสงสว่าง บางคนจินตนาการสร้างแสงสว่างขึ้นมาเอง, จิตใจมีความสว่างไสวในภายใน ความสว่างที่ตนเองคิดสร้างขึ้นมา เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส คือ กิเลสที่เกิดขึ้นในลักษณะของวิปัสสนา บาลีใช้คำว่า โอภาส แปลว่า แสงสว่าง, มีบางคนกล่าวว่า จิตเป็นดวงสว่างอยู่กลางกาย ที่จริงไม่มี คิดไปเอง.
##ประโยคที่ ๓ ""เมื่อสิ่งนั้นไม่ใช่ความมืด ก็จงดูให้เห็นว่า นั่นมันไม่มีความมืดอะไรที่ไหน!""
สภาวะของจิตหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมชาติแห่งความว่างชนิดที่ไร้ขอบเขตจำกัด เป็นสิ่งที่ปราศจากความมืด ท่านใช้คำว่า ไม่ใช่ความมืด, จิตหนึ่งไม่ใช่ความมืด ว่างจากความมืด; ทั้งความสว่างและความมืด เป็นเพียงมายาของความคิดปรุงแต่ง ถ้าพูดอีกแง่มุมหนึ่งก็ได้ว่า แม้แต่ความสว่าง ก็คือ ความมืดอย่างหนึ่งเหมือนกัน เรียกว่า "ความมืดสีขาว" ความคิดปรุงแต่ง ไม่ว่าคิดดีหรือคิดชั่ว ล้วนแต่ทำให้จิตใจมืด.
##ประโยคที่ ๔ ""ดังนั้น จึงมีตามมาว่า ไม่มีความมืดหรือปลายสุดของความมืด""
คำว่า ปลายสุดของความมืด หมายถึง การดับลงของความมืดนั่นเอง ซึ่งเป็นลักษณะของสิ่งปรุงแต่ง (สังขตธรรม) มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีการแปรปรวนในท่ามกลาง และมีการแตกสลายดับไปในที่สุด แต่สิ่งที่เรียกว่า จิตหนึ่งหรือพระนิพพาน เป็นอสังขตธรรม คือ สภาวะที่ปราศจากความปรุงแต่งด้วยประการทั้งปวง ไม่มีเบื้องต้นของความมืด คือ ความมืดไม่เกิด ดังนั้น จึงไม่มีปลายสุดของความมืด. (๒๑ มี. ค.๖๓)