#สัจจะไร้สิ่งคู่.
#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.
##เห็นด้วยปัญญาญาณ.
##คำสอนท่านฮวงโป, ตอนที่ ๓๑๐, หน้า ๑๑๒; จะขอแบ่งออกเป็น ๒ ประโยค ดังนี้ :-
##ประโยคที่ ๑ ""เพื่อความสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันมิได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม (คือมิได้เป็นตัวสติปัญญาที่คิดนึกหรือสร้างสิ่งต่าง ๆ) นั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึง ในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็น ความมีอยู่หรือมิใช่ความมีอยู่""
ที่ได้เขียนไปบ้างแล้วในตอนก่อนว่า "ความมีอยู่" กับ "มิใช่ความมีอยู่" เป็นลักษณะของคติทวินิยม คือ ความคิดที่ยึดติดอยู่กับสิ่งที่เป็นคู่ ๆ เช่น บุญ- บาป, สุข- ทุกข์, ดี- ชั่ว เป็นต้น แต่ในประโยคนี้ท่านระบุไปยังความคิดที่ว่า "ความมีอยู่" กับ "มิใช่ความมีอยู่"
สิ่งที่เรียกว่า จิตหนึ่งหรือจิตเดิมแท้นั้น จะพูดว่า "มีอยู่" ก็ไม่ได้ เพราะว่า มีอยู่ เป็นลักษณะของอัตตา, จะพูดว่า "มิใช่ความมีอยู่" ก็ไม่ถูก เพราะว่า สัจธรรมแท้ กล่าวคือ จิตหนึ่ง เป็นอมตะนิรันดร.
##ประโยคที่ ๒ ""ยิ่งไปกว่านั้นอีก แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฏแห่งความเป็นเหตุและผลของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกต่อมันไม่ได้โดยทางอายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร) อยู่นั่นเอง""
ได้เขียนไปแล้วในตอนก่อนว่า สภาวะของจิตหนึ่ง มีคุณสมบัติที่สำคัญอยู่ ๓ อย่าง คือ บริสุทธิ์ ตั้งมั่น และควรแก่การงาน ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า ธรรมชาติของจิตหนึ่งนั้น เป็นภาวะที่เราไม่สามารถรู้ได้หรือเห็นได้โดยทางอายตนะทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร
เพราะว่า สิ่งที่ทำหน้าที่ผ่านทางอายตนะทั้งหก ก็คือ วิญญาณ เช่น การรับรู้รูปที่มาปรากฏทางตา เรียกว่า จักขุวิญญาณ การรับรู้เสียงที่มาปรากฏทางหู เรียกว่า โสตวิญญาณ เป็นต้น ฉะนั้น สภาวะของจิตหนึ่ง ต้องรู้ได้หรือเห็นได้ด้วยปัญญาญาณต่างหาก. (๑๔ ส. ค.๖๔)