#สัจจะไร้สิ่งคู่.
#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.
#ความจริงหนึ่งเดียว.
#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง (บทที่ ๑๐) จะแบ่งออกเป็น ๘ ประโยค ดังนี้:-
#ประโยคที่ ๑ "กล่อมจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้เป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า...ได้ไหม"
ฟุ้งซ่าน ก็คือ ความคิดปรุงแต่ง ถ้าคิดในเรื่องเพศตรงข้าม เรียกว่า กามตัณหา คิดอยากมีอยากเป็น เรียกว่า ภวตัณหา คิดอยากจะไม่มี อยากจะไม่เป็น เรียกว่า วิภวตัณหา, ที่ว่า เป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า ก็คือ ความว่าง; จิตฟุ้งซ่าน คือ ความวุ่น เป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า คือ ว่าง, ท่านถามว่า เป็นหนึ่งเดียวกับเต๋าได้ไหม?.
#ประโยคที่ ๒ "อยู่กับพลังชีวิตที่ผ่อนคลาย ร่างกายให้อ่อนนุ่มเหมือนเด็กทารก...ได้ไหม"
ชีวิตที่ยึดถือนั่นยึดถือนี่ เป็นชีวิตที่ตึงเครียดและอ่อนแอ ไม่มีพลัง ฉะนั้นต้องผ่อนคลาย ปล่อยวาง ชีวิตก็จะมีพลัง มีสมรรถนะในการทำงานทุกชนิด ที่ว่า ร่างกายอ่อนนุ่มเหมือนเด็กทารก หมายถึง ความอ่อนน้อมถ่อมตน, จิตที่มีพลัง คือ จิตที่เข้มแข็ง กายอ่อนนุ่ม คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน.
#ประโยคที่ ๓"วางความคิดในใจลงจนไม่เห็นอะไรในใจ นอกจากแสงเรืองๆ...ได้ไหม"
ไม่เห็นอะไรในใจ ก็คือ ว่าง (เต๋า) ความคิดปรุงแต่งเป็นม่านปิดบังสัจธรรม ท่านจึงแนะนำให้วางความคิดในใจลงจนไม่เห็นอะไรในใจ ถ้าว่างจากความคิดปรุงแต่ง ก็ย่อมเห็นแจ้งเต๋า ท่านใช้คำว่า แสงเรืองๆ ความว่างเป็นแสงที่ไร้แสง เป็นความสว่างที่ไร้ความสว่าง.
#ประโยคที่ ๔ "รักและนำผู้คนโดยไม่บังคับเขาทำตามใจเจ้า...ได้ไหม"
รักในที่นี้ หมายถึงเมตตา ซึ่งเป็นความรักที่ไม่เจือด้วยกิเลสตัณหาอุปาทาน แต่เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ผู้ที่เปี่ยมด้วยความเมตตาหรือความรักที่บริสุทธิ์นั่นแหละ จะนำผู้คนโดยไม่ต้องบังคับ ผู้คนยอมปฏิบัติตามด้วยความสมัครใจ เรียกว่า ปกครองชนิดที่ไม่ต้องปกครอง นั่นคือ การปกครองที่ประเสริฐสุด.
#ประโยคที่ ๕ "รับมือกับเรื่องเป็นเรื่องตายด้วยวิธีปล่อยให้สถานการณ์พาไปเอง...ได้ไหม"
คนส่วนมากพอเกิดอุปสรรคหรือปัญหาอะไรขึ้นมา มักจะกังวลเป็นทุกข์ จิตใจว้าวุ่น การแก้ปัญหาจึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แต่ถ้ารู้จักปล่อยวาง จิตใจว่างไร้ความปรุงแต่ง การมองสิ่งต่างๆ ก็จะเห็นชัดเจน บางสิ่งบางอย่างคนจิตวุ่นมองเห็นว่า เป็นปัญหาใหญ่ แต่ผู้มีปัญญามองเห็นว่า ธรรมดา.
#ประโยคที่ ๖ "ถอยหลังออกจาก "ความคิด" เพื่อจะ "รู้" สรรพสิ่ง...ได้ไหม"
ความคิดในที่นี้ หมายถึง ความคิดปรุงแต่ง คิดฟุ้งซ่าน คิดด้วยอวิชชา ที่ว่า ถอยหลังออกจากความคิด ก็คือ การปล่อยวาง เมื่อว่างจากความคิดปรุงแต่ง ก็จะกลายเป็นความรู้แจ้งต่อสรรพสิ่งตามที่เป็นจริง ความคิดปรุงแต่ง เรียกว่า มโนกรรม เป็นการกระทำทางใจ ฉะนั้นต้องปล่อยวาง.
#ประโยคที่ ๗ "ให้กำเนิดและเลี้ยงดูโดยไม่ถือครองเป็นของตน มีทรัพย์โดยไม่เป็นเจ้าของ"
จะระบุไปที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดลูกก็ได้ ไม่ถือครอง ก็คือ เลี้ยงดูไปด้วยสติปัญญา ทำหน้าที่เกี่ยวข้องไปด้วยความรักความเมตตาอันบริสุทธิ์ แต่โดยทั่วไปมักจะเลี้ยงดูไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างต้องให้ได้ดังใจตน; ทรัพย์ก็เช่นกันมีไว้ด้วยสติปัญญา.
#ประโยคที่ ๘ "ทำโดยไม่หวังผล นำโดยไม่พยายามควบคุม นี่จึงจะเป็นอำนาจที่แท้จริง"
ทำโดยไม่หวังผล ก็คือ ทำด้วยสติปัญญา ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ทำงานเพื่องาน ถ้าเป็นผู้นำ ก็นำโดยไม่พยายามควบคุม นำด้วยความรักความเมตตา ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า การทำหน้าที่ต่างๆ โดยไม่หวังผล การเป็นผู้นำก็นำโดยไม่ต้องพยายามควบคุม นั่นคือ อำนาจที่แท้จริง. (๒๙ มิ. ย. ๖๖)