#สัจจะไร้สิ่งคู่.

#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.

เรื่อง. อิทัปปัจจยตา ตอนที่ ๒. (ตาข่ายฟ้า มิอาจเล็ดรอด)

โดย: Lita De Pran
ชอบ: (0)
ไม่ชอบ: (0)
Created: 11 Jan 2020

เรื่อง. อิทัปปัจจยตา ตอนที่ . (ตาข่ายฟ้า มิอาจเล็ดรอด)

ทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เราไม่ควรไปปรุงแต่ง ว่าดีหรือไม่ดีจึงชื่อว่าเราเห็นโลกตามความเป็นจริง และ ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งกระทบที่เข้ามายั่วเย้าจิตใจ เช่น ทรัพย์สินเงินทอง ท่านพุทธทาส ได้บรรยายเรื่องนี้ บ่อยครั้ง ว่าบางคนมีเงินฝากในธนาคาร แต่สำหรับคนที่ไม่มีธรรมะ เงินเหล่านั้นกลับกลายมาอยู่บนหัวของเราทำให้เราร้อนรุ่มทำให้เราหนัก เพราะพึงคิดว่า จะเอาเงินนั้นไปทำอะไรให้เพิ่มพูนขึ้นอย่างไร เป็นต้น ในความเป็นจริงเราไม่ควรให้เงินมาเป็นนายเรา แล้วนำพาชีวิตเราเป็นสำคัญอันดับแรก

มีสุภาษิตจีน กล่าวว่าตาข่ายฟ้า มิอาจเล็ดรอด  ในความเป็นจริงตาข่ายต้องมีสิ่งเล็ดรอดออกมาได้ แต่ตาข่ายฟ้า มิอาจเล็ดรอดนี้ น่าสนใจ เพราะเป็นตาข่ายฟ้า ซึ่งสื่อความหมายถึงกฎของธรรมชาติ ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย, หากเหตุปัจจัยอย่างหนึ่ง ผลจะเป็นอย่างหนึ่ง หากเหตุปัจจัยเปลี่ยน ผลก็ต้องเปลี่ยนซึ่งไม่มีอะไรเล็ดรอดไปได้แต่แล้วอะไรที่เป็นเหตุให้เกิดสิ่งเล็ดรอดออกจากตาข่ายนี้?

สิ่งนั้นคือ คำว่าสุญญตาแปลว่า ความว่างคือไม่มีอะไร บุคคลทั่วไปเมื่อได้ยินคำว่าว่างมันก็จะใช้ความคิดเข้าไปจับ แล้วก็กลายเป็นการปรุงแต่งขึ้นมาว่าความว่างเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ดังนั้นจึงไม่ควรพยายามใช้ความคิดเพื่อหาความเข้าใจกับความว่าง สิ่งที่เล็ดรอดออกไปจากตาข่าย คือความว่างจากความรู้สึกว่าฉัน ของฉัน ว่างจากกิเลสที่เกิดจากอัตตา” ( และเมื่อมีอัตตา สิ่งต่าง จึงมี จึงเกิดขึ้นมาเต็มไปหมด)

เมื่อเรารู้สึกว่าสิ่งต่างๆมีเราจึงติดอยู่ ดิ้นอยู่ในตาข่ายซึ่งยิ่งดิ้น ตาข่ายยิ่งรัดเข้ามามากขึ้น

คำว่ารัดบาลีคือ โยชน หมายถึงการร้อยรัดมัดทั่วอยู่ เช่นคำว่า ประโยชน์ (ปะ แปลว่า ทั่ว)

รวมความหมายว่า สิ่งที่เข้ามาร้อยรัดเราไว้ทั่ว ฉะนั้นเราจึงควรสำรวจชีวิตของเราว่าเราแสวงหาประโยชน์ในรูปแบบใดกันบ้าง เช่น ทรัพย์สิน เงินทอง หรือ แสวงหาธรรมะ, ธรรมะก็สามารถร้อยรัดเราได้ ธรรมะมีทั้งในมุมที่ดี และในมุมที่มาทำร้ายเราให้เกิดทุกข์ ซึ่งเป็นกิเลสชั้นละเอียด เช่น การมุ่งแสวงหาธรรมะแบบอยากเป็นคนดี อยากมีศีล อยากทำภาวนา เช่นนี้เป็นต้น ทำให้เกิดทุกข์จากการร้อยรัด ดังนั้นหากเราทำอัตตา ให้เล็กลงๆ ตาข่ายก็จะมีผลต่อเราลดลงๆ จนมาทำอะไรเราไม่ได้อีกต่อไป

ตาข่ายฟ้า คือ กฎของธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่รอดไปได้ นอกจากความว่าง ด้วยเพราะแทรกซึมในทุกสิ่งไม่มีข้อยกเว้นหากท่านปล่อยชีวิตให้ผ่านไปตามกาลเวลาโดยไม่ได้มุ่งทำความเข้าใจกับความว่าง จึงนับเป็นสิ่งที่น่าเสียดายยิ่งเพราะตาข่ายมันจะรัดเรามากขึ้นๆ ดังนั้นท่านทั้งหลายพึงพิจารณาว่า เรากำลังติดตาข่ายตรงไหน ที่ทำให้ชีวิตต้องเหนื่อยเพียงนี้ และไปจบลงที่ความทุกข์ทั้งหมดจึงเป็นคำกล่าวที่น่าคิดยิ่ง ซึ่งถือเป็นความลับของชีวิตที่ควรน้อมนำมาสู่ตน เพื่อท่านจะได้พบความสงบ ความว่างในที่สุด

เรียบเรียงธรรมบรรยาย โดย ลลิต มณีธรรม.

No comments yet...

Leave your comment

27530

Character Limit 400