#สัจจะไร้สิ่งคู่.
#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.
เรื่อง เราชาวพุทธพึงใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทเถิด. (ตอนที่ ๒ “ตน” โดยปรมัตถ์)
เรื่อง เราชาวพุทธพึงใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทเถิด. (ตอนที่ ๒ “ตน” โดยปรมัตถ์)
๒.ตน” โดยปรมัตถ์ ในภาษาธรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นอนัตตา คือ ไม่มีอยู่จริง โดยเฉพาะคำสอน เรื่อง ขันธ์ ๕ ว่าด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว-ไม่ใช่ตน เราท่านทั้งหลาย ควรรู้ และน้อมรับปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ความไม่เป็นทุกข์ เพื่อการมองเห็นทุกข์ทางจิตใจนั่นเอง
สิ่งที่เรียกว่า ชีวิต มีองค์ประกอบคือขันธ์ ๕ กล่าวคือ -รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ- นี้ เป็นอนัตตา, แต่เราท่านทั้งหลาย มองเห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวเป็นตน โดนเฉพาะวิญญาณ คนส่วนมากมีความเชื่อว่า เมื่อร่างกายนี้ดับสลายไปแล้ว แต่ดวงวิญญาณยังอยู่ ยังมีการเกิดใหม่ ซี่งผิดไปจากคำสอนของพระพุทธองค์เพราะ “ตน” โดยปรมัตถ์นี้เป็นอนัตตา, ร่างกาย-รูป มีลักษณะเกิดดับ, ที่เราเห็นว่ามีรูปอยู่ตลอดเพราะมีอุปาทาน, เวทนา, สัญญา (ความจำ), สังขาร และวิญญาณ (การรับรู้) เป็นสิ่งที่มีลักษณะเกิด-ดับ, เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอนิจจัง.
การมองเห็นว่าขันธ์ ๕ นั้นเป็นเพียงสักว่าธาตุ กล่าวคือ รูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณธาตุ สิ่งเหล่านี้เป็นภาษาวิทยาศาสตร์, แต่ในภาษาธรรมสิ่งเหล่านี้ไม่มี เป็นอนัตตา, ฉะนั้น หากท่านมีความเข้าใจผิดเรื่องขันธ์ ๕ ว่ามีอยู่จริง จึงเรียกได้ว่า มี “มิจฉาทิฏฐิ” แต่หากเราพิจารณาด้วยความเห็นที่ถูกต้อง ว่า “ตน” โดยปรมัตถ์ นั้นเป็นอนัตตา ไม่มีอยู่จริง จักเรียกว่า “สัมมาทิฏฐิ” สมดังพระบาลีกล่าวว่า “สัมมาทิฏฐิ สมาทานา สัพพัง ทุกขัง อุปัจจคุง”.
“คนจะล่วงพ้นความทุกข์ได้เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ แต่จะหมดความทุกข์ได้ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ”
ฉะนั้น ท่านทั้งหลาย จะหมดทุกข์ได้นั้น ต้องพึงเห็นว่า ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา ไม่มีอยู่จริง ดังนั้น การยึดถือ “ตน” โดยสมมติ ยังมีกิเลสครอบงำจิตใจอยู่ แต่ “ตน” โดยปรมัตถ์นั้นต่างหากที่เป็นการยึดถือด้วยสติปัญญาด้วยความเห็นแจ้ง” เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ซึ่งในที่สุดจะได้รับความสุข ความสงบในจิตใจตนเป็นแน่แท้
เรียบเรียงธรรมบรรยาย โดย ลลิต มณีธรรม.