#สัจจะไร้สิ่งคู่.

#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.

ไม่มีความคิดว่า มีหรือไม่มี

      #คำสอนท่านฮวงโป, ตอนที่ ๒๐๙,  หน้า ๗๔;  จะขอแบ่งออกเป็น ๓ ประโยค ดังนี้ :-

     #ประโยคที่ ๑ ""ถาม..เมื่อยอมรับว่า คนรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ซึ่งหยุดความคิดปรุงแต่งของตนเสียได้ คือ พุทธะ ดังนี้แล้ว; ก็คนที่ยังโง่อยู่เล่า, เมื่อหยุดความคิดปรุงแต่งเสียหมดแล้ว, จะมิกลายเป็นคนหลงลืมไม่มีสมปฤดีไปหรือ?"" 

      ผู้ถามยังยึดติดอยู่ในคติทวินิยม คือ นิยมสิ่งที่เป็นคู่ ๆ เช่น ความสว่างคู่กับความมืด, ความดีคู่กับความชั่ว, ความรักคู่กับความชัง, คนฉลาดที่รู้แจ้งเห็นจริงคู่กับคนโง่ด้อยปัญญา เป็นต้น; มีบางคนเข้าใจผิดว่า ถ้าใช้ความคิด ถือว่า เป็นความคิดปรุงแต่งไปหมด, ที่จริงคิดด้วยอวิชชา จึงจะเรียกว่า ความคิดปรุงแต่ง, แต่ถ้าคิดด้วยจิตว่าง เรียกว่า ความคิดสร้างสรรค์; มาดูคำตอบของท่านฮวงโป.

     #ประโยคที่ ๒ ""ตอบ..ไม่มีคนรู้แจ้งเห็นจริง, ไม่มีคนที่ยังโง่อยู่, และไม่มีแม้ความหลงลืมไม่มีแม้สมปฤดี"" คำตอบทั้งหมดนี้ เรียกว่า ความคิดปรุงแต่ง; ที่ท่านกล่าวว่า ไม่มีคนรู้แจ้งเห็นจริง หมายถึง ไม่มีความคิดว่า มีคนรู้แจ้งเห็นจริง; 

      ที่ว่า ไม่มีคนที่ยังโง่อยู่ หมายถึง ไม่มีความคิดว่า มีคนที่ยังโง่อยู่; ที่ว่า ไม่มีแม้ความหลงลืมไม่มีสมปฤดี หมายถึง ไม่มีความคิดว่า มีคนหลงลืมไม่มีสมปฤดี; โดยสรุปก็คือ ยึดติดอยู่กับความคิดว่า "มีและไม่มี" นั่นเอง, ดังนั้น จิตหนึ่ง หรือพุทธภาวะจะประจักษ์แจ้งออกมาได้, ต้องละความคิดที่เป็นคู่ทุกชนิด.

     #ประโยคที่ ๓ ""ถึงกระนั้นก็เถอะ, แม้ว่าโดยหลักทั่วไปสิ่งทุกสิ่งจะปราศจากความมีอยู่อย่างเป็นวัตถุตัวตนก็ตาม, พวกเธอก็ต้องไม่คิดไปในทำนองที่ว่า ไม่มีสิ่งใดที่มีอยู่; และแม้ว่าสิ่งทั้งหลายมิใช่เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่, พวกเธอก็ต้องไม่คิดไปว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีอยู่""

      ท่านต้องการจะชี้ให้เห็นว่า แม้การเข้าไปยึดติดในความมีอยู่ว่า เป็นความไม่มี, ก็เป็นความคิดปรุงแต่งอย่างหนึ่ง; หรือเข้าไปยึดติดในความไม่มีอยู่ว่า เป็นความมีอยู่, ก็เป็นความคิดปรุงแต่งอีกเหมือนกัน. (๖ ธ. ค.๖๑).

No comments yet...

Leave your comment

88725

Character Limit 400