#สัจจะไร้สิ่งคู่.
#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.
##การตรัสรู้โพล่งออกจากจิต
##การตรัสรู้โพล่งออกจากจิต#!!!!!
##คำสอนท่านฮวงโป, ตอนที่ ๒๑๒, หน้า ๗๕; จะขอแบ่งออกเป็น ๓ ประโยค ดังนี้ :-
##ประโยคที่ ๑ ""ถาม..ถ้าจิตกับพุทธะเป็นของสิ่งเดียวกันโดยเนื้อแท้แล้ว, เราจะต้องปฏิบัติต่อไปในปารมิตาทั้งหก และการปฏิบัติอื่น ๆ ดังที่กล่าวไว้ในแบบฉบับเพื่อการตรัสรู้นั้น ๆ หรือไม่เล่า ?""
สิ่งที่เรียกว่า ปารมิตาทั้งหก ก็คือ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ สมาธิ และปัญญา; โดยธรรมชาติจิตกับพุทธะ คือสภาวะอันเดียวกัน, จิตในที่นี้ หมายถึง จิตว่าง (สุญญตา) ซึ่งเป็นจิตที่ปราศจากความปรุงแต่ง, มิใช่จิตที่เป็นนามธรรม เช่น จิตที่เป็นความจำ ความคิด เป็นต้น; จากคำถามดังกล่าว ท่านฮวงโปได้ตอบว่า.....
##ประโยคที่ ๒ ""ตอบ..การตรัสรู้ย่อมโพล่งออกมาจากจิตโดยตรง, ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการบำเพ็ญปารมิตาทั้งหก และข้อปฏิบัติอื่นใดของพวกเธอเลย"" จากคำถามที่ว่า ถ้าจิตกับพุทธะเป็นของสิ่งเดียวกัน, แล้วเราจะต้องปฏิบัติต่อไปในปารมิตาทั้งหกเป็นต้นอีกหรือไม่ ?
แต่ท่านก็ได้ชี้ให้เห็นว่า การตรัสรู้หรือการเห็นแจ้งนั้น ย่อมโพล่งออกมาจากจิตพุทธะโดยตรง ซึ่งไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญปารมิตาทั้งหก และการปฏิบัติอย่างอื่น ๆ เลย; ถ้าเข้าไปบำเพ็ญ ก็จะกลายเป็นการเพิ่มอุปาทานให้มากยิ่งขึ้น; ท่านก็ได้อธิบายต่อไปว่า...
##ประโยคที่ ๓ ""การปฏิบัติบำเพ็ญทำนองนี้ ทั้งหมดสิ้น, เป็นเพียงอุบายสำหรับกุมเอาประโยชน์ทางวัตถุ อันเนื่องอยู่กับปัญหาชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง"" ทำไมท่านจึงกล่าวว่า การปฏิบัติบำเพ็ญทำนองนั้นทั้งหมด เป็นเพียงอุบายสำหรับกุมเอาประโยชน์ทางวัตถุ ?
ยกตัวอย่าง การให้วัตถุสิ่งของ (วัตถุทาน) ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เป็นการสงเคราะห์ต่อคนยากไร้ เพื่อให้สังคมมีกินมีใช้ หรือแม้การบริจาคเงินกับวัดวาอาราม ก็เพื่อบำรุงพระศาสนาในด้านเสนาสนะ เช่น โบสถ์วิหาร. (๒๕ ธ. ค.๖๑)