#สัจจะไร้สิ่งคู่.
#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.
##วิธีปฏิบัติที่ลี้ลับ.
##คำสอนท่านฮวงโป, ตอนที่ ๒๗๒- ๒๗๓, หน้า ๙๖; จะขอแบ่งออกเป็น ๓ ประโยค ดังนี้ :-
##ประโยคที่ ๑ ""พวกเธอจงวิพากษ์วิจารณ์ดูตามที่เธอจะทำได้กันเถิด แล้วพวกเธอจะสามารถแม้แต่หวังว่าจะเข้าถึงสัจจะอันนี้ได้ โดยทางคำสอนได้อย่างไรกัน ?""
ข้อความดังกล่าวเนื่องมาจากข้อความในตอนที่แล้ว ซึ่งท่านได้ชี้ให้เห็นว่า การถ่ายทอดสัจธรรม กล่าวคือ จิตหนึ่ง ให้แก่กันและกันนั้น ไม่สามารถถ่ายทอดได้ด้วยคำพูด
ท่านยกตัวอย่างไว้ว่า สมัยที่พระพุทธเจ้าถ่ายทอดสัจธรรมให้กับพระมหากัสสปะ พระพุทธองค์ใช้วิธีที่เรียกว่า ถ่ายทอดแบบจิตถึงจิต โดยที่ไม่ต้องผ่านทางคำพูด; สัจธรรมแท้ กล่าวคือ จิตหนึ่ง เป็นสภาวะที่อยู่เหนือคำพูด อยู่เหนือการบัญญัติ อยู่เหนือการอุปมา ต้องหุบปากเงียบ.
##ประโยคที่ ๒ ""หรือว่ามันจะเป็นสิ่งที่รู้โดยประจักษ์ได้ โดยวิธีของนามธรรมหรือรูปธรรมได้อย่างไรกัน ?""
จิตหนึ่ง มิใช่นามธรรมและมิใช่รูปธรรม แต่เป็นสภาวะที่จะประจักษ์แจ้งออกมาได้ ต้องไม่ยึดติดทั้งในนามธรรมและในรูปธรรม โดยเฉพาะ ก็คือ มองให้เห็นว่า "รูปนาม" เป็นของว่างเปล่า รูปนามนั่นแหละเป็นสิ่งปิดกั้น มิให้จิตหนึ่งประจักษ์แจ้งออกมา
เพ่งดูรูป ก็เท่ากับยึดติดในรูป เพ่งดูนาม ก็เท่ากับยึดติดอยู่กับนาม, ดูสิ่งใด สิ่งนั้นก็กลายเป็นอุปสรรค ดังนั้น ต้องสลายรูปนามให้กลายเป็นของว่างเปล่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อนัตตา" คือ ไม่มีอัตตาอยู่จริง.
##ประโยคที่ ๓ ""เมื่อเป็นดังนี้ ความเข้าใจอย่างเต็มที่จะมาสู่พวกเธอได้ ก็แต่โดยทางหรือวิธีที่ลี้ลับไม่อาจอธิบายได้เท่านั้น""
ท่านยืนยันว่า การเห็นแจ้งต่อจิตหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาวะแห่งความว่างชนิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด ว่างอย่างไร้ขอบเขตจำกัดนั้น มีอยู่ทางเดียวหรือวิธีเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีที่ลี้ลับชนิดที่อธิบายไม่ได้ด้วยคำพูดของมนุษย์
ดังโศลกธรรมของพระโพธิธรรมที่ว่า "ธรรมชาติแท้ของจิตนั้น ถ้าผู้ใดเข้าใจซึมซาบแล้ว คำพูดของมนุษย์ไม่สามารถหว่านล้อมหรือเปิดเผยมันได้ ความตรัสรู้ คือ ความไม่มีอะไรให้ใครต้องลุถึง และผู้ซึ่งได้ตรัสรู้ ก็ไม่พูดว่า เขารู้อะไร ?" (๒ ธ. ค.๖๓)