#สัจจะไร้สิ่งคู่.
#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.
##ตถตา คือพุทธะ#!!!
##คำสอนของท่านเว่ยหล่าง, หมวดที่ ๑๐, หน้า ๑๔๔; จะนำมาเขียนสัก ๒ ประโยค ดังนี้ :-
##ประโยคที่ ๑""ก่อนที่จะจากท่าน ฉันจะกล่าวโศลกให้ท่านฟัง ชื่อว่า พุทธะอันแท้จริงของภาวะที่แท้แห่งจิต อนุชนรุ่นต่อไปในอนาคต ผู้เข้าใจในความหมายนี้ จะได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งจิต และบรรลุความเป็นพุทธะตามนัยนี้""
คำว่า พุทธะอันแท้จริงของภาวะที่แท้แห่งจิต หมายถึง จิตว่าง (สุญญตา) ซึ่งเป็นสภาวะที่ปราศจากความคิดปรุงแต่งด้วยประการทั้งปวง ว่างชนิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด ว่างอย่างไร้ขอบเขตจำกัด; ปุถุชนมองไม่เห็นพุทธะอันแท้จริงนี้ เพราะถูกความคิดปรุงแต่งปิดบังไว้ แต่อริยชนท่านประจักษ์แจ้งต่อพุทธะอันแท้จริงแล้ว เพราะปราศจากความคิดปรุงแต่งเข้ามาครอบงำ; พุทธะอันแท้จริงไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนให้เสียเวลา แต่ต้องแสวงหาที่ใจ เมื่อใดจิตใจว่างจากความคิดปรุงแต่ง เมื่อนั้นย่อมพบกับพุทธะทันที.
##ประโยคที่ ๒ ""ภาวะที่แท้แห่งจิตหรือตถตา เป็นพุทธะอันแท้จริง ส่วนมิจฉาทิฏฐิและธาตุอันเป็นพิษร้าย ๓ ประการ เป็นพญามาร การบรรลุธรรมด้วยสัมมาทิฏฐิ เรามุ่งไปสู่พุทธะภายในตัวเรา""
คำว่า ตถตา แปลว่า ความเป็นเช่นนั้นเอง พุทธภาวะหรือสุญญตา นั่นแหละคือ สภาวะแห่งความเป็นเช่นนั้นเอง; ที่ท่านกล่าวว่า ธาตุอันเป็นพิษร้าย ๓ ประการ หมายถึง โลภะ โทสะ โมหะ ท่านเปรียบเหมือนกับพญามาร เพราะมีมิจฉาทิฏฐิ จึงเกิดความคิดปรุงแต่งประเภทโลภะ โทสะ โมหะขึ้นมา ตรงกันข้าม ถ้ามีสัมมาทิฏฐิ ก็จะเปลื้องความคิดปรุงแต่งออกไปได้ และจะพบกับพุทธภาวะ มีพุทธภาษิตว่า จิตย่อมล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ หมายความว่า จะสิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องมีสัมมาทิฏฐินั่นเอง. (๒๒ พ. ค.๖๔)