#สัจจะไร้สิ่งคู่.

#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.

การพิจารณากายและจิต

โดย: Lita De Pran
ชอบ: (0)
ไม่ชอบ: (4)
Created: 08 Oct 2019

เรื่อง. การพิจารณากายและจิต

กุมฺภูปมํกายมิมํวิทิตฺวา นครูปมํจิตฺตมิทํถเกตฺวา

โยเธถมารํปญฺญาวุเธน ชิตญฺจรกฺเขอนิเวสโนสิยา.”

บุคคลรู้กายนี้ที่เปรียบด้วยหม้อกั้นจิตที่เปรียบด้วยเมืองนี้แล้ว

พึงรบมารด้วยอาวุธคือปัญญาและพึงรักษาแนวที่ชนะไว้ไม่พึงยับยั้งอยู่.

จากพระบาลีข้างต้นนั้นเราสามารถน้อมนำมาใช้ในการพิจารณามาพิจารณาได้คือ

. คำว่ารู้กายนี้ที่เปรียบด้วยหม้อนั้นในสมัยพุทธกาลจะเป็นหม้อดินซึ่งมีลักษณะคือเป็นสิ่งที่แตกได้ง่ายและหากลองพิจารณาในมุมอื่นก็จะเห็นได้ว่ากายนี้ไม่เที่ยงร่างกายของคนเราก็เหมือนกันเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยและก็ต้องดับไปในที่สุดฉะนั้นเราควรใช้ร่างกายนี้แบบไม่ประมาท, ประเด็นของพระสูตรนี้จะพูดถึงกายนี้ไม่ใช่ของยั่งยืนแตกได้ง่ายหรือพิจารณาเป็นลักษณะของธาตุ  กายนี้ประกอบด้วยธาตุดิน,ธาตุน้ำ,ธาตุไฟ, ธาตุลมผสมกันอยู่  ไม่มีส่วนไหนบอกว่าเป็นตัวเราของเรา

. คำว่ากั้นจิตที่เปรียบด้วยเมืองนั้นกล่าวคือชีวิตของคนทั่วไปมักจะปล่อยให้อกุศลคือกิเลสต่างมีโลภโกรธหลงเป็นต้นเข้ามาย่ำยีจิตของเรา, ดังนั้นหากเราไม่ต้องการให้กิเลสปรากฏขึ้นในใจเราสามารถป้องกันกิเลสเหล่านั้นได้ด้วยการอาศัยนายด่านหรือนายประตูกล่าวคือสติซึ่งจะคอยกั้นไม่ให้สิ่งไม่ดีไม่งาม(อกุศล) ไหลเข้ามาในจิตของเรา

. คำว่าพึงรบมารด้วยอาวุธคือปัญญานั้น, “มาร  หมายถึงสิ่งที่จะเข้ามาปิดกั้นไม่ให้เราเข้าถึงความดีงามหรือสิ่งที่มาฆ่าให้เราตายเสียจากความถูกต้อง, มารตามหลักพระพุทธศาสนามีลักษณะแต่ขอยกมาส่วนเดียวที่เกี่ยวข้องกับพระบาลีคือ  กิเลสมารเป็นมารไม่มองเห็นด้วยตาแต่รู้ได้ด้วยใจซึ่งจะคอยบั่นทอนกำลังใจและเป็นอุปสรรค,  ส่วนคำว่ากิเลสแปลว่าเครื่องเศร้าหมอง(การทำให้จิตที่บริสุทธิ์นั้นเศร้าหมองลงไป)  ตามหลักพระพุทธศาสนาคือการที่จิตฟูขึ้นหรือลดลงจากอาการดีใจและเสียใจเพราะเกิดจากควายึดมั่นถือมั่นสุดท้ายความทุกข์ก็เกิดขึ้นนั่นเองซึ่งมีทั้งกิเลสฝ่ายดีและฝ่ายชั่วและทั้งกิเลสฝ่ายดีและฝ่ายชั่วนั้นเป็นสิ่งเข้ามาปรุงแต่งจิตเหมือนกัน, ถ้าต้องการรบกับกิเลสมารจึงต้องรบด้วยอาวุธคือปัญญาปัญญาทางพุทธศาสนาแบ่งเป็นลักษณะกล่าวคือ

. สุตตมยปัญญาเป็นปัญญาที่เกิดจากการได้ฟังได้อ่านได้เรียนรู้เรื่องราวจากผู้อื่นซึ่งเป็นความรู้ที่นำมากำหนดแนวคิดของเราเอง,

. จินตามยปัญญาเป็นปัญญาที่เกิดจาการเอาสุตตมยปัญญาที่ได้เรียนรู้มาพิจารณาดูว่ามีเหตุผลควรเชื่อถือได้หรือไม่และสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์กับตนเองได้อย่างไร,

. ภาวนามยปัญญาเป็นปัญญาที่เกิดจาการพัฒนาจิตและปฏิบัติจนรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองซึ่งถือว่าเป็นปัญญาที่แท้จริงซึ่งเป็นการต่อยอดจากสุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา, ภาวนามยปัญญาในทางธรรมนั้นจะเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นอันจะเกิดจากการปฏิบัติให้ถูกต้อง, ส่วนภาวนายปัญญาในทางโลกก็คือการลงมือทำด้วยตนเองในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเชี่ยวชาญจนแตกฉานในสิ่งนั้น

. คำว่าพึงรักษาแนวที่ชนะไว้ไม่พึงยับยั้งอยู่" หากเราละกิเลสได้แล้วให้รักษาคุณงามความดีนั้นไว้แต่อย่าพึงหยุดยับยั้งอยู่ให้เราก้าวเดินต่อไป  ท่านพุทธทาสแต่งกลอนบทหนึ่งไว้ว่ามารไม่มีบารมีไม่เกิดคนเราจะมีบารมีได้ก็เพราะมีมารคนเราจะมีธรรมะได้ก็เพราะมีกิเลสคนเราจะไม่ทุกข์ได้เพราะมีความทุกข์  ให้มองเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นฐานให้เราพัฒนาขึ้นไปจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น

สรุปคือเราควรพิจารณากายของเราว่าเดี๋ยวมันก็เปลี่ยน. เดี๋ยวมันก็เสื่อมเดี๋ยวมันก็พังท่านจึงบอกว่ากายนี้เปรียบด้วยหม้อ, และสอนให้เรากั้นจิตเปรียบเหมือนเมืองคือสอนให้เป็นผู้มีสติเฝ้าระมัดระวังอยู่ที่ตา,หู,จมูกลิ้น,กาย,ใจไม่ปล่อยให้กิเลสคือมารมาครอบงำจิตใจเราได้, และให้ภาวนาจนเกิดเป็นภาวนามยปัญญาคือปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงคือเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่เราจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้จริง.

                                        

เรียบเรียงทำบรรยาย โดยสุวรรณี ตันติวีรสุต

No comments yet...

Leave your comment

80287

Character Limit 400