#สัจจะไร้สิ่งคู่.
#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.
“โลกตามที่เป็นอยู่จริง”
โลกตามที่เป็นอยู่จริง
อวิชฺชายนิวุโตโลโกเววิจฺฉา(ปมาทา) นปฺปกาสติชปฺปาภิเลปนํพฺรูมิทุกฺขมสฺสมหพฺภยํ
“โลกถูกอวิชชาปิดบังแล้วไม่ปรากฏเพราะความตระหนี่(และความประมาท), เรากล่าวความอยากว่าเป็นเครื่องฉาบทาโลกทุกข์เป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น”.
คำว่า“โลก” นั้นมีหลายความหมายแตกต่างกันไปแต่ในเชิงพุทธศาสนาคำว่าโลกมีได้หลายความหมายขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อมของประโยคนั้นๆ, คำว่าโลกนั้นอธิบายได้หลายแง่มุม เช่นโลกหมายถึงแผ่นดินหรือหมายถึงสัตว์ที่ต้องอาศัยในโลกหรือหมายถึงดวงดาวก็ได้
เรามาทำความรู้จักโลกที่เราคุ้นเคยตามความเป็นจริงก่อนว่าบนโลกนี้มีการเกิดของสัตว์โลกมารวมๆกันไม่มีดีไม่มีไม่ดีเป็นเพียงกลางๆนั่นละคือความจริงตามธรรมชาติซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่อยู่รวมกันนั่นเอง
แต่ในพระบาลีบทนี้แปลความหมายออกไปอีกความหมายนัยหนึ่งคือมีการพูดถึง“อวิชชา” และความอยากเป็นเครื่องฉาบทาโลก(ทางวิทยาศาสตร์ปกติแล้วชั้นบรรยากาศคือสิ่งที่เคลือบโลกอยู่)
“โลกถูกอวิชชาปิดบังแล้วไม่ปรากฏเพราะความตระหนี่(และความประมาท)”
พระบาลีบทนี้ได้กล่าวถึงบุคคลที่ถูกอวิชชา(แปลว่าความไม่รู้) ปิดบังนั้นเมื่อมองเห็นโลกจะเห็นได้ทั้งแบบที่สวยงามน่าอยู่เช่นหมู่มวลดอกไม้ที่สวยงามทำให้เกิดความอยากได้อยากมีมาครอบครองเป็นของเราทำให้หลงไปเป็นทาส“อวิชชา” ความไม่รู้ตามความเป็นจริงของโลกที่ว่าโลกเกิดจากเหตุปัจจัยมีการเปลี่ยนไปตลอดเวลาไม่มีวันจบสิ้นดังนั้นของที่เปลี่ยนแปลงตลอดก็ไม่ใช่ของจริงเพราะของจริงต้องไม่เปลี่ยนไม่มีเหตุปัจจัยเปลี่ยนเพราะหากยังเปลี่ยนได้เราเรียกสิ่งนั้นว่า“มายา”, ในทางตรงข้ามหากเรามองว่าโลกไม่น่าอยู่เต็มไปด้วยความโหดร้ายมากด้วยความเบียดเบียนกันแล้วทำให้เกิดความทุกข์ใจและไม่ต้องการมีชีวิตอยู่
การเห็นโลกทั้งสองลักษณะนั้นจึงมีลักษณะที่เหมือนกันว่าถูกอวิชชาปิดบังเรียกว่า”มิจฉาทิฏฐิ” ด้วยเพราะตามความจริงแล้วเมื่อเหตุปัจจัยเกิดขึ้นย่อมเปลี่ยนและดับไปในที่สุดถ้าบุคคลใดเข้าใจอย่างนี้ก็จะไม่ตกไปเป็นทาสของความรู้สึกที่ว่าสิ่งต่างๆดีหรือไม่ดี
“เรากล่าวความอยากว่าเป็นเครื่องฉาบทาโลก”
ความอยากโดยหลักๆแล้วมี๒ลักษณะดังนี้
๑. เมื่ออยากมีอยากได้เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราจะดึงเข้ามาหาเรามาใส่เรา
๒. เมื่อไม่อยากมีไม่อยากได้เกิดขึ้นเราจะผลักไสออกไปจากตัวเรา
เมื่อเราเห็นแล้วว่าในชีวิตจริงของเรานั้นมีความอยาก“อวิชชา” ที่จะปิดบังสิ่งต่างๆทำให้เรามองไม่เห็นว่าสิ่งที่ฉาบทานั้นได้เก็บซ่อนปกปิดมิให้เราเห็นเนื้อในเช่นนี้ทำให้เราไปยึดมั่นถือมั่นดังนั้นความอยากสองสิ่งนี้เป็นภัยใหญ่หลวงเพราะเมื่อเรายึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นความทุกข์ได้รอเราอยู่แล้วเป็นแน่แท้
“ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น”.
ผู้รู้กล่าวไว้ว่า“ความทุกข์มีพิษมาก” ผู้ใดมีทุกข์ผู้นั้นจะมีอาการร้อนรุ่มอยู่ในใจกระวนกระวายใจเป็นเหตุให้พร้อมที่จะเกิดอารมณ์หงุดหงิดอาละวาดต่อผู้อื่นเช่นอาละวาดด้วยวาจานินทาว่าร้ายหรือมีอาการทางการกระทำเช่นทำร้ายตัวเองอย่างรุนแรงจึงมีคำเปรียบว่า“ความทุกข์มีพิษมาก”
ดังนั้นหากเราพิจารณาเห็นความจริงของโลกแล้วว่าเกิดจากเหตุปัจจัยคือเปลี่ยนไปตลอดเวลาไม่สามารถตั้งอยู่ในสภาพเดิมได้จึงไม่มีคุณค่าอะไรให้เราเข้าไปยึดถือในขณะเดียวกันเราต้องอยู่ให้ถูกต้องตามกฎสมมุติที่คนในโลกตกลงกันแต่ด้านจิตใจแล้วนั้นย่อมต้องไม่ถูก“อวิชชา” ปิดบังไม่ถูกความอยากฉาบทาไว้นั่นแหละคือการที่เราเห็นโลกตามที่เป็นจริงแท้นั่นเอง.
เรียบเรียงบทความธรรมบรรยายโดย ลลิต มณีธรรม