#สัจจะไร้สิ่งคู่.
#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.
การเห็นสิ่งทั้งปวงโดยประการอื่น
เรื่อง การเห็นสิ่งทั้งปวงโดยประการอื่น
สพฺพํธมฺมํอญฺญโตปสฺสโตฯ- การเห็นสิ่งทั้งปวงโดยประการอื่น.
ถ้ากล่าวถึงการเห็นนั้นบุคคลต่างๆย่อมเห็นหรือรับรู้เรื่องราวต่างๆได้ไม่เหมือนกันหากแบ่งบุคคลเป็น๒จำพวกหนึ่งคือเป็นปุถุชนและอีกพวกหนึ่งคืออริยชนหรือชนผู้ประเสริฐการเห็นในที่นี้มิใช่การเห็นทางตาแต่หมายถึงเป็นการรับรู้สิ่งต่างๆผ่านทางอายตนะภายในกล่าวคือตาหูจมูกลิ้นกายและใจ, ในเรื่องราวเดียวกันปุถุชนจะเห็นแบบหนึ่งอริยชนหรือพระอริยเจ้าจะเห็นอีกแบบหนึ่ง
เมื่อปุถุชนเข้าไปรับรู้สิ่งต่างๆผ่านอายตนะภายในแล้วจิตก็มักจะเข้าไปหลงใหลสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์, อารมณ์ของคนทั่วๆไปนั้นจะมีลักษณะเป็นอารมณ์รักเกลียดพอใจหรือไม่พอใจอารมณ์ดีอารมณ์เสีย, ส่วนคำว่า“อารมณ์” ทางพุทธศาสนาแปลว่าสิ่งหน่วงเหนี่ยวจิตหรือสิ่งที่จิตไปเกาะเกี่ยวอยู่แล้วยึดจิตไว้มี๖อย่างคือ
๑. รูปารมณ์คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยรูป
๒. สัททารมณ์คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยเสียง
๓. คันธารมณ์คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยกลิ่น
๔. รสารมณ์คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยรส
๕. โผฎฐัพพารมณ์คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการสัมผัสทางกาย
๖. ธรรมารมณ์คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความคิด
เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าไปหลงใหลในอารมณ์๖จะทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆไปทิศทางอย่างหนึ่งซึ่งพระอริยเจ้าและพระพุทธเจ้าจะเห็นทิศทางอีกแบบหนึ่งคือทิศทางตรงกันข้าม
บางพระสูตรบอกว่าเมื่อใดที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ทั้ง๖แล้วจะเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นตามมาเรียกว่า“อภินนฺทติ” กล่าวคือรู้สึกเข้าไปเพลิดเพลิน, เมื่อรู้สึกเพลิดเพลินก็จะเกิดการ“อภิวทติ” คือการพร่ำสรรเสริญถึงสิ่งที่เข้าไปหลงใหลไม่หยุดปาก(เป็นคำที่ท่านอาจารย์พุทธทาสใช้), จากนั้นจะเกิดอาการ“อชฺฌายติฎฐติ” คือการหมกจมอยู่กับสิ่งนั้น, หมกจมคือการฝังตัวเข้าไปกับสิ่งๆนั้น(เข้าไปยึดมั่นถือมั่น)
ความเพลิดเพลินของคนเรานั้นย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล, ในความเป็นจริงนั้นสิ่งต่างๆที่เราเข้าไปหลงใหลเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งกลางๆไม่ได้ดีไม่ได้ชั่วไม่ได้บวกไม่ได้ลบ, แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าไปหลงเพลิดเพลินในสิ่งใดย่อมมีการสรรเสริญสิ่งนั้นไม่หยุดปากสุดท้ายก็จะหมกจมลงไป
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ตรัสถามว่า“มีสิ่งใดบ้างที่เราเข้าไปยึดมันถือมั่นแล้วจะไม่ให้โทษแก่เรา?” คำตอบที่พระองค์ทรงตรัสตามพระสูตรก็คือ“ไม่มีสิ่งใดที่เราไปยึดมั่นถือมั่นแล้วจะไม่ให้โทษแก่เรา”
ในการศึกษาพระพุทธศาสนานั้นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการยกระดับจิตให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสรรพสิ่งเราก็จะไม่เข้าไปเพลิดเพลินหรือหมกจมลงไปในอารมณ์ใดๆ, วิธีการคือสร้างความเคยชินเมื่อจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงด้วยความเห็นหรือรับรู้สิ่งต่างๆว่าเป็นเพียงเหตุเป็นเพียงปัจจัยเช่นเกี่ยวข้องกับการกินต้องไม่คำนึงถึงความอร่อยเพียงเป็นเหตุปัจจัยการดำรงชีวิตให้ดำรงอยู่ตามระยะเวลาหรือเห็นเป็นธาตุดินน้ำไฟลมหรืออีกมุมเห็นว่าว่างลงไปจากความเป็นตัวเป็นตนกล่าวคือมีเหมือนเดิมเพียงแต่ว่างลงไปจากความรู้สึกว่าเป็นตัวกูเป็นของกูเท่านั้นเอง
เรียบเรียงบทความทำบรรยาย โดยสุวรรณีตันติวีรสุต