#สัจจะไร้สิ่งคู่.

#คัมภีร์ เต๋า เต๋อ จิง.

วันอัฐมีบูชา

โดย: Lita De Pran
ชอบ: (0)
ไม่ชอบ: (0)
Created: 08 Oct 2019

เรื่อง  วันอัฐมีบูชา

ข้อธรรมที่ควรพิจารณาในวันอัฏฐมีบูชานี้คือเมื่อพระพุทธองค์ดับขันธปรินิพพานก็มีโอวาทครั้งสุดท้ายของพระพุทธองค์หรือปัจฉิมพุทโธวาทซึ่งทรงเน้นไปที่เรื่องของความไม่ประมาท, คำว่าไม่ประมาทนั้นครอบคลุมไปยังทุกหมวดธรรมทั้งหมด, ถ้าประพฤติดีและถูกต้องก็ขึ้นชื่อว่าไม่ประมาททั้งนั้น

ถ้าเราพูดถึงความไม่ประมาทก็มีแง่มุมในธรรมะมากมายซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสวันนี้จะขอยกมามุมหนึ่งคือเป็นการทำความเข้าใจเพื่อนำความไม่ประมาทมาประยุกต์ใช้กับชีวิตของแต่ละท่าน

"ชราธมฺโมโยพฺพญฺเญ" มีความหมายว่าความชราย่อมซ่อนอยู่ในความหนุ่มสาว.

"พยาธิธมฺโมอโรเคยฺย" มีความหมายว่าความเจ็บไข้ย่อมซ่อนอยู่ในความไม่มีโรค.

"มรณธมฺโมชีวิเต" มีความหมายว่าความตายย่อมซ่อนอยู่ในความตั้งอยู่ของชีวิต.

ประเด็นของพระสูตรนี้จะพูดถึงเรื่องความแก่ความเจ็บและความตาย, ซึ่งมีอีกเรื่องที่โยงสัมพันธ์กันได้คือเรื่องของเทวทูตคือเทวทูตทั้งสี่ได้แก่ความแก่ความเจ็บความตายและสมณะที่เจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นจนเป็นเหตุให้พระองค์เสด็จออกผนวชนอกจากนี้ยังมีหมวดธรรมที่ปรากฏอยู่แต่ยังไม่แพร่หลายคือเทวทูตคือความแก่ความเจ็บและความตายซึ่งสอดคล้องกับพระบาลีที่ได้ยกขึ้นกล่าวมาข้างต้น

เรื่องของความแก่ความเจ็บไข้และความตายนั้นทุกคนก็คงเห็นกันอยู่มากมายโดยภาพรวมการเห็นนั้นพอจะแบ่งได้ลักษณะกล่าวคือ

. ความแก่: บางคนก็เห็นคนแก่ผ่านเข้ามาและก็ผ่านแลยไปโดยมิได้นำมาพิจารณาอะไร, แต่ถ้าเลือกจะเห็นแบบเจ้าชายสิทธัตถะเห็นคือเห็นว่าคนแก่ก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งวันหนึ่งเราก็ต้องแก่มองให้เห็นว่าอะไรก็ไม่คงที่ของมันสิ่งทั้งหลายทั้งปวงแปรเปลี่ยนตลอด, หากพูดแบบภาษาปรมัตถแล้วความแก่นั้นมิได้มีอยู่อย่างแท้จริงคือเป็นเพียงธรรมชาติที่ต้องแปรไปตามเหตุตามปัจจัยเพราะสิ่งที่เรียกว่าตัวตนนั้นไม่มีอยู่จริงกล่าวคือการเห็นด้วยสติและปัญญาที่ชัดเจนว่าตัวบุคคลเป็นสมมติแล้วใครเล่าจะเป็นผู้แก่.

. ความเจ็บป่วย: คนที่ยังแข็งแรงไม่มีโรคภัยรุมเร้าก็จะไม่ค่อยสนใจเรื่องของความเจ็บไข้, แต่ถ้าเลือกจะเห็นแบบเจ้าชายสิทธัตถะเห็นคือเห็นว่าเรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นมันคือสิ่งหนึ่งที่ผู้ที่ไม่มีโรคจะต้องเผชิญไม่ช้าก็เร็วรอเพียงเหตุปัจจัยที่จะเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นความเจ็บไข้ได้ป่วยนั่นเอง, หากเราเห็นความเจ็บไข้เป็นของธรรมดาหนีไม่พ้นความเจ็บไข้ไปได้หนีกฎธรรมชาติไปไม่ได้, ถ้ามองการเจ็บไข้แบบพระพุทธองค์คือพูดแบบอนัตตาต้องเห็นไปอย่างแท้จริงโดยเห็นว่าความรู้สึกว่าฉันนั้นไม่มีอยู่จริง, แล้วใครจะเป็นผู้เจ็บมันก็เป็นเพียงเหตุปัจจัยที่มันเปลี่ยนไปก็เท่านั้นเอง.

. ความตาย: คนส่วนใหญ่มีโอกาสได้ไปงานศพหรือเกี่ยวข้องกับความตายในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแต่ไม่ค่อยให้ความสนใจโดยเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัวแล้วก็ใช้ชีวิตอย่างประมาท, แต่เจ้าชายสิทธัตถะกลับเห็นว่าการตายเป็นเหมือนเทวทูตซึ่งมาแสดงความจริงของชีวิตให้เห็น, เราควรหมั่นพิจารณาว่าวันหนึ่งเราก็หนีความตายไปไม่พ้นดังนั้นเราควรจะคำนึงถึงมรณานุสสติอยู่เป็นประจำแต่กรณีที่มีกิจการงานอยู่มากมายอย่างน้อยทุกครั้งที่ล้มตัวลงนอนแล้วให้ระลึกถึงความตายอยู่เป็นประจำระลึกว่าเดี๋ยวเราก็จะต้องตาย, ไม่ต้องแสวงหาสิ่งที่เกินความจำเป็นซึ่งจะเป็นเหตุให้เข้าไม่ยึดมั่นถือมั่น  ถ้าหมั่นระลึกถึงความตายอยู่เสมอจะทำให้เราเป็นผู้ไม่ประมาท, ถ้ามองการเจ็บไข้แบบพระพุทธองค์คือเห็นไปอย่างแท้จริงโดยเห็นว่าความรู้สึกว่าฉันนั้นไม่มีอยู่จริง, แล้วใครจะเป็นผู้ตายมันก็เป็นเพียงเหตุปัจจัยที่มันเปลี่ยนไปก็เท่านั้นเอง.

มีพระบาลีบทหนึ่งว่า"ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย." พระบาลีนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งกล่าวคือมิได้กล่าวถึงความตายทางร่างกายเพราะในความเป็นจริงส่วนของร่างกายนั้นต้องดับหรือตายไปเหมือนกันทุกคน, แต่ตั้งใจระบุลงไปที่จิตกล่าวคือจิตที่เศร้าหมองหรือความทุกข์เกิดขึ้นกับผู้ใดก็ถือว่าผู้นั้นมีจิตที่ตายแล้ว

พระพุทธองค์และพระอรหันต์ทั้งหลายชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทอย่างสมบูรณ์, แม้สังขารร่างกายของพระพุทธองค์จะดับไปแต่สภาวธรรมหรือสุญญตากลับยังคงมีอยู่ตลอดไปเมื่อไม่รู้สึกว่าไม่มีใครเกิดก็จะไม่รู้สึกว่ามีใครตายไม่รู้สึกว่าตัวตนนั้นมีอยู่ซึ่งสอดคล้องกับพระบาลีที่ว่า"ความตายช่อนอยู่ในความมีชีวิต."

สรุปสิ่งที่ต้องเตรียมตัวคือการหมดความยึดมั่นถือมั่นการหมดความคิดปรุงแต่งหรือหมดความรู้สึกเรื่องของความเป็นตัวเป็นตนลงไปให้เกลี้ยงโดยสิ้นเชิง, ในภาษาธรรมที่แท้จริงคือไม่มีใครแก่, ไม่มีใครเจ็บและไม่มีใครตายถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็จะชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทอย่างสมบูรณ์.

  เรียบเรียงทำบรรยาย โดยสุวรรณี ตันติวีรสุต

No comments yet...

Leave your comment

11977

Character Limit 400